อีกประเด็นที่ผมเห็นด้วยกับ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ออกมาท้วงติง กทช. เรื่องการประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ก็คือ การตั้งราคากลางในการประมูลที่สูงเกินไป นอกจากจะเป็นการ กีดกันผู้ประกอบการไทย แล้ว ยังเป็นการเพิ่มภาระให้ประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์ 3 จีในอนาคตที่ต้องจ่ายแพงเกินจริงด้วย
เรื่องนี้ นักการเมือง ข้าราชการ ชอบนัก เป็นกอบเป็นกำดี เอกชนแม้ไม่ชอบแต่ก็ต้องทำ เพราะต้องการได้งาน ผลประโยชน์ลงตัวด้วยกันทุกฝ่าย แต่ฝ่ายที่เสียหายคือประเทศชาติและคนไทยทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นการประมูล โทรศัพท์ ทางด่วน รถไฟฟ้า ถนน รถเมล์ ไปจนถึง โครงการชุมชนพอเพียง เครื่องมือแพทย์ที่กำลังฉาวโฉ่ ล่าสุด นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เอาใจ กลุ่มเพื่อนเนวินสุดๆ ไฟเขียวให้ ขสมก.เช่ารถเมล์ 4,000 คัน 6 หมื่นกว่าล้านบาทได้ตามที่ต้องการ โดยไม่ตัดทอนอะไรเลย สมประโยชน์ด้วยกันแต่คนกรุงเทพฯ ต้องจ่ายค่ารถเมล์แพงขึ้นอีกเท่าตัวในอนาคต
แล้วจะมีใครคิดเลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอีกไหมเนี่ย
ความเลวอีกอย่างของ นักการเมือง ที่ฝากเป็นรอยแผลให้กับคนไทยก็คือ การบวกเปอร์เซ็นต์โกงเข้าไปอีกร้อยละ 15-30 อย่างที่เป็นข่าว ล้วนแต่เงินภาษีจากหยาดเหงื่อแรงงานของคนไทยทั้งสิ้น ผมก็ได้แต่หวังว่าบาปกรรมคงจะตามทันสักวัน
กลับมาที่เรื่องการประมูลคลื่น 3 จีกันต่อครับ ผมเห็นด้วยกับ คุณศุภชัย ว่าถ้าเอาเรื่องเงินเป็นหลัก เช่น ตั้งราคาประมูลคลื่นละ 2-3 หมื่นล้านบาท ผมก็เชื่อว่า ค่ายทรู คงประมูลไม่ได้แน่ เมื่อเทียบกับค่ายเอไอเอส ซึ่งมีบริษัทแม่คือ “เทมาเสก” บริษัทลงทุนของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติแห่งชาติสิงคโปร์ ที่มีเงินทุน 3-4 ล้านล้านบาท หรือ ค่ายดีแทค ซึ่งมีบริษัทแม่คือ “เทเลนอร์” รัฐวิสาหกิจสื่อสารโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลนอร์เวย์ เป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อนับด้วยจำนวนลูกค้าที่มีอยู่กว่า 168 ล้านราย
ค่ายทรูจะเอาเงิน 2-3 หมื่นล้านบาทจากไหนไปประมูลแข่ง เพราะประมูลได้แล้วยังต้องใช้เงินอีกหลายหมื่นล้านบาทลงทุนในระบบเครือข่ายอีก
การเปิดประมูลแบบนี้ของ กทช. ผมจึงเห็นด้วยว่า เป็นการประมูลที่ไม่เป็นธรรม เป็นเงื่อนไขที่ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กกว่าเข้าแข่งประมูลได้ และ ไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการไทย ซึ่งปกติประเทศอื่นไม่ว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น จีน รัฐบาลจะช่วยเอื้อให้บริษัทสัญชาติของตนเองแข่งขันกับต่างชาติ ไม่ใช่การเปิดเสรีแบบซื่อบื้อไม่มีขอบเขตอย่างนี้
การที่ผมเห็นด้วยกับคุณศุภชัย ผมไม่ได้ต่อต้าน เอไอเอส หรือ ดีแทค แต่ผมคิดว่า กทช. น่าจะใช้วิธีการเดียวกับ สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือญี่ปุ่น เพื่อให้คนไทยและประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด แทนที่จะแข่งด้วยวงเงินประมูลสูงสุด เมื่อประมูลได้มาในราคาแพง บริษัทผู้ให้บริการก็ต้องคิดราคาบริการในราคาแพง ผลเสียก็ตกแก่คนไทยและประเทศไทยในอนาคตอีกหลายสิบปี
เพราะ “คลื่น 3 จี” ไม่ใช่แค่คลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ธรรมดา แต่มันคือ “ระบบบรอดแบรนด์บนโทรศัพท์มือถือ” อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังไปเมื่อวานนี้
แล้ว บรอดแบนด์ ที่ว่านี้สำคัญอย่างไร ผมขอเอาผลสำรวจของ ETU หรือ อีโคโนมิส อินเทลลซิเจนส์ ยูนิต ที่เพิ่งสำรวจขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไอที 66 ประเทศมาตอบแทนว่า ประเทศที่ลงทุนเพิ่มด้านบรอดแบนด์ 10 เปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มมูลค่าให้จีดีพีประเทศถึง 1.3 เปอร์เซ็นต์ เพราะได้เปรียบในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมไอทีมากกว่าประเทศอื่น
เห็นหรือยังว่า “คลื่น 3 จี” และ “บรอดแบนด์” มันสำคัญอย่างไร
จะประมูลให้เป็นของ “บริษัทต่างชาติ” ทั้งหมด หรือจะเหลือไว้ให้ “บริษัทคนไทย” บ้าง ผมว่ารัฐบาล นายกฯอภิสิทธิ์ คงจะนั่งลอยตัวอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ แค่ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็ทำให้ประเทศไทยป่วยไปไม่รู้กี่โรคแล้ว
“ลมเปลี่ยนทิศ”
ข้อมูลจาก : คอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย ไทยรัฐ วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552 หน้า 5